เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือ หลังจากนั้นเกษตรกรจึงจะยื่นแบบขอรับการช่วยเหลือ (กษ 01) ซึ่งมีผู้ใหญ่บ้าน กำนัน องค์การบริหารส่วนตำบล หรือนายกเทศมนตรี ตรวจสอบและรับรองตามสถานที่ที่กำหนด ซึ่งจะต้องมีคณะกรรมการหมู่บ้านตรวจสอบและรับรองความเสียหาย
หลังจากนั้นจะนำรายชื่อเกษตรกรที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว ไปติดประกาศคัดค้านตามสถานที่ที่กำหนดไม่น้อยกว่า 3 วัน และสำนักงานเกษตรอำเภอนำเสนอคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) พิจารณาให้ความช่วยเหลือ วงเงินไม่เกิน 500,000 บาท หากไม่เพียงพอ จะมีการเสนอคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานกรรมการ ในวงเงิน 20 ล้านบาท
หากพื้นที่เกิดความเสียหายมากและไม่เพียงพอ การพิจารณาจะอยู่ในอำนาจของปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน 50 ล้านบาท
สำหรับหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือ จะเป็นไปตามที่เกาตรกรที่ประสบภัยพิบัติ ขึนทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรก่อนเกิดภัยพิบัติ ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือตามพื้นที่เสียหายจริง ไม่เกินครัวเรือนละ 30 ไร่ โดยกำหนดอัตราการช่วยเหลือดังนี้ ข้าว 1,113 บาทต่อไร่ พืชไร่ 1,148 บาทต่อไร่ ขณะที่พืชสวนและอื่นๆ 1,690 บาทต่อไร่
อย่างไรก็ตามหากเกษตรกรเข้าร่วมโครงการประกันภัยกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เกษตรกรที่ปลูกข้าวนาปีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เมื่อได้รับเงินช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังแล้ว จะได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติม คือ ข้าวนาปี ได้รับเบี้ยประกัน 97 บาทต่อไร่ สินไหมทดแทน 1,260 บาทต่อไร่ ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ได้รับเบี้ยประกัน 160 บาทต่อไร่ และสินไหมทดแทน 1,500 บาทต่อไร่
ที่มา: http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/E/120/T_0036.PDF
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/896406